The Three Kings Monument ChiangMai
The Chiang Mai City Arts and Culture Centre is located in an old building of elegant architectural design built in 1927.Standing on the location of a former royal hall, the building was used as the central administrative office of the Monthol Phayap administrative unit of Siam, and later as the Provincial Hall of Chiang Mai
Kaimook Chuto (April 18, 1938 – 1995) was the first female Thai sculptor. She was royal sculptor for Queen Sirkit, and created the Three Kings Monument in Chiang Mai.
Monument of Kings Mangrai of Lan Na, Ngam Mueang of Phayao and Ram Khamhaeng of Sukhothai
The history of Chiang Mai can be traced to the reign of King Mengrai (1259-1317) who established the Kingdom of Lanna in the northern region. In 1296 the King cooperated with King Ramkhamhaeng of Sukhothai and King Ngam Muang of Phayao to choose an appropriate site for founding the capital of Lanna. The present location of Chiang Mai was selected. It took about 4 months to complete the building task. That's how Chiang Mai became the capital of Lanna.
In 1558, Chiang Mai town was captured by Burengnong, a very competent King of Burma. But 38 years later, King Naresuan of Ayutthaya seized Chiang Mai back from the Burmese. Later the town fell to the hands of the Burmese again before King Narai of Ayutthaya succeeded in its recovery. Ayutthaya took control of the town for 20 years. After that Chiang Mai was alternately ruled by the Burmese and became independent.
In 1774, King Taksin of Thon Buri, who reestablished Thai sovereignty after Ayutthaya had been defeated in the war with Burma in 1767, realized the vital strategic importance of Chiang Mai, made an attack on the town and took it as a vassal town. In the reign of King Rama V (1868-1910), Chiang Mai's status was elevated from a vassal town to be part of a monthon (an administrative unit used at that time). When the Thai government abolished this unit, Chiang Mai became a province in 1933
จานีน ยโสวันต์
ในปีพ.ศ. 2372 พระยามังรายผู้ซึ่งปกครองเมืองในภาคเหนือของประเทศไทยอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขงได้ขยายพื้นที่ของเข้ามายังเมืองเชียงใหม่และเมืองลำพูน ได้จัดตั้งให้เมืองใหม่เป็นศูนย์กลางการค้าขายโดยใช้แม่น้ำปิงเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและหลังจากนั้นมาเมืองก็หายสาบสูญไป อันที่จริงคือการจมไปจากสายตาจนกระทั่งได้มีการค้นพบอีกครั้งหนึ่งในปีพ.ศ.2540 ท่ามกลางการโต้แย้งแต่ก็มีความตื่นเต้นและความน่าอัศจรรย์เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดค้นและสำรวจพื้นที่ก็พบว่าเมืองที่ถูกลืมมีเนื้อที่650 ไร่ มีวัดอย่างน้อย 25 แห่ง ระบบน้ำที่ละเอียดซับซ้อน ชลประทานเพื่อการเกษตรแบบเป็นชั้นๆ วัตถุมีค่าอยู่กระจัดกระจาย และยังได้พบซากเรือรวมทั้ง "เรือหางแมงป่อง"มีลักษณะค่อนข้างแปลก ในปีพ.ศ. 2545 เจ้าหน้าที่ได้ประกาศว่าเวียงกุมกามซึ่งเป็นเมืองในตำนานที่สูญหายนั้นเป็นเมืองโบราณจริงๆ
เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่โดดเด่นอยู่มากมาย เชียงใหม่เป็นจังหวัดเดียวที่ห้าอำเภออยู่ใกล้กับชายแดนพม่า ภูเขาที่สูงที่สุดคือดอยอินทนนท์ที่อยู่อำเภอจอมทองทางใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่และมีความสูง2,565.33 เมตร ภูเขาสูงเป็นอันดับสองคืออุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกในอำเภอฝางที่มีความสูง 2,285 เมตรและภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามคือดอยหลวงเชียงดาวในอำเภอเชียงดาวและมีความสูง 2,170 เมตร ภูเขาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาผีปันน้ำ เพราะว่าอากาศดีแม้ว่าจะเย็นเล็กน้อยในฤดูหนาวหลายๆคนได้มาท่องเที่ยวภูเขาทั้งสามแห่งนี้ในแต่ละปี
ภูเขาเหล่านี้เป็นต้นน้ำของแม่น้ำปิงซึ่งไหลลงมาทางที่ราบภาคกลางไปรวมแม่น้ำ วัง ยม และน่านที่จังหวัดนครสวรรค์กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะไหลลงทางใต้ไปยังอ่าวไทยที่จังหวัดสมุทรปราการ
แม่น้ำปิงนั้นสวยงามและอยู่ในภาพเขียนและภาพถ่ายมากมาย ความน่าดึงดูดใจนั้นปรากฏบทกวีและเพลงพื้นบ้านที่เน้นถึงวัฒนธรรมพื้นบ้านและแสดงความงดงามและเสน่ห์ของเชียงใหม่
ประวัติแม่น้ำปิงของประเทศไทยนั้นเกี่ยวข้องกับผู้คนทางเหนือและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอดีตเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำ ก่อนที่จะถึงปี
พ.ศ. 2540 เรื่องราวอันลึกลับประกอบด้วยเจดีย์ทั้งสองแห่งที่เหลืออยู่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ และเรื่องพื้นบ้านเกี่ยวกับแม่น้ำและสถานที่ไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ ในที่สุดเมื่อมีผู้คนย้ายมาในพื้นที่นี้และได้ค้นพบสิ่งของโบราณมากมาย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจตราและพบว่าพื้นที่นั้นครอบคลุมไปด้วยดินโคลนและทรายซึ่งสะสมมาจากน้ำท่วมและตามประวัติศาสตร์แล้วก็มีน้ำท่วมใหญ่ที่ไม่อาจต้านทานได้ในบริเวณนั้น เมื่อได้มีการสำรวจต่อไปก็ได้รับหลักฐานมากขึ้น ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และภาพถ่ายทางอากาศได้พิสูจน์ว่าแผนเมืองเชียงใหม่ล้อมรอบไปด้วยลำคลองรูปทรงกลมที่สร้างโดยมนุษย์และไม่ปรากฏในแผนที่ หลักฐานของการก่อสร้างเมืองเชียงใหม่ภายหลังจากชาวล้านนาอพยพออกจากเวียงกุมกามนั้นเขียนไว้ที่หลักศิลาจารึกที่วัดเชียงมั่นเมื่อปีพ.ศ. 1839 ดังนั้นจึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าเวียงกุมกามเป็นอาณาจักรที่อยู่ใต้พิภพ
ในตอนที่เวียงกุมกามยังเจริญรุ่งเรือง การเกษตรสมบูรณ์ดีและการหารนั้นแข็งแกร่ง ช่างฝีมือชาวจีนเข้ามาสร้างเครื่องปั้นดินเผาโดยใช้ดินเหนียวที่มีมากมายและมีคุณลักษณะที่มีค่าที่อยู่ใกล้แหล่งเตาเผาที่มีชื่อเสียง แต่ละเตาได้สร้างเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะค่อนข้างต่างกัน เครื่องปั้นดินเผาของสันกำแพงจะทาสีเป็นลายปลาคู่ เครื่องปั้นดินเผาจากเวียงกาหลงก็จะทาสีเป็นรูปนก เตาเผาที่จังหวัดพะเยาใช้ดินสร้างรูปปั้นทหารบนช้างศึกเครื่องปั้นดินเผาจากเตาสุโขทัยจะเน้นสีเขียวเป็นหลัก เตาเครื่องปั้นดินเผาที่น่านจะใช้สีเข้มมีลวดลายนกฮูก เตาเผาในแต่ละแห่งถูกเรียกว่าเตามังกรเพราะมีขนาดใหญ่มากและมีกำลังการผลิตถ้วยและจานดินเผาได้มากกว่า
1,000 ใบต่อครั้ง
พระยามังรายเป็นผู้ปกครองเมืองนากโยนกนคร ตามธรรมเนียมชาวพุทธนากถูกจัดสร้างเป็นราวบันไดทางเข้าวัด พระยามังรายเป็นสหายกับพระยางำเมืองผู้ครองเมืองพะเยาและพ่อขุนรามคำแหงที่ปกครองอาณาจักรสุโขทัย ทั้งกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งเมืองเวียงกุมกามที่เป็นทั้งศูนย์กลางการค้าขายและศาสนา ผู้คนในเวลานั้นอาศัยอยู่ใกล้วัดเพราะว่าง่ายต่อการดูแลพระสงฆ์ด้วยอาหารและเงินทอง
ในช่วงการก่อสร้างเวียงกุมกาม พระยามังรายปกครองเมืองหริภุญชัยก่อนที่จะย้ายมาเชียงใหม่และสร้างวัดหลายแห่งเช่นวัดเจ็ดยอด วัดอุโมงค์วัดพระสิงห์ วัดเจดีย์หลวง และวัดเชียงมั่น ศิลปะรูปแบบล้านนาผสมผสานกับศิลปะพม่าและจีน เมื่อพม่ายึดครองภาคเหนือ ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเวียงกุมกาม เกิดน้ำท่วมขึ้นและเมืองก็ถูกลืมเลือนในที่สุด ทุกวันนี้แม่น้ำปิงที่ซัดสาดขึ้นลงเกิดความงามที่เป็นเส้นทางต้อนรับเวียงกุมกามที่ไม่ได้เป็นนครที่ถูกลืมเลือนอีกต่อไป
พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ หรือที่มักเรียกกันว่า อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ ผู้สร้างเวียงเชียงใหม่ คือ พญามังราย พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ตั้งอยู่กลางเวียงเชียงใหม่ บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (อดีตศาลารัฐบาลมณฑลพายัพ) ด้านหน้าติดกับถนนพระปกเกล้า ซึ่งบริเวณนี้เอง ถือเป็นศูนย์กลางของตัวเมืองเชียงใหม่ หน้าอนุสาวรีย์มีลานกว้างขนาดใหญ่ เรียกว่า "ข่วงสามกษัตริย์" หรือ "ข่วงอนุสาวรีย์สามกษัตริย์" ด้านตรงข้ามของอนุสาวรีย์ ยังเป็นที่ตั้งของอาคารศาลแขวงเชียงใหม่เดิม ซึ่งมีสถาปัตยกรรมตะวันตกที่งดงาม
พระบรมราชานุสาวรีย์หล่อด้วยทองเหลืองและทองแดงรมดำ มีขนาดเท่าครึ่ง สูง 2.70 เมตร ใช้เวลา 10 เดือนในการออกแบบและทำการปั้นหล่อโดยอาจารย์ไข่มุกด์ ชูโต โดยได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ จากกรุงเทพมหานครขึ้นประดิษฐานบนแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) เวลา 11.49 น. พระบรมรูปประกอบด้วย พญามังรายประทับกลางเป็นประธาน พญาร่วงประทับอยู่เบื้องซ้าย และพญางำเมืองประทับอยู่เบื้องขวา
โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)
หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่
ที่อยู่: 127/7 ถนนพระปกเกล้า ตำบล ศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200
The Chiang Mai City Arts and Culture
คุณไข่มุกข์ ชูโต : ประติมากร
Kaimook Chuto (April 18, 1938 – 1995) was the first female Thai sculptor. She was royal sculptor for Camadevi Monument in Lamphun .Queen Sirkit, and created the Three Kings Monument in Chiang Mai.
Kaimook Chuto (April 18, 1938 – 1995) was the first female Thai sculptor. She was royal sculptor for Queen Sirkit, and created the Three Kings Monument in Chiang Mai. In April 2017 Google displayed a Google Doodle in her honor.
In 1829, Phaya Meng Rai, who ruled a city in Northern Thailand near the Mekong River, expanded his territory to Chiang Mai and Lampoon. He founded a new city to be a trade center using the Ping River as a transportation route. And then it disappeared. It literally sunk out of sight until it was rediscovered in 1997 amidst some controversy but with excitement and wonder.
When officials excavated and surveyed the area, they found that the forgotten city occupied 650 Rai of land, with at least 25 temples, an elaborate water system, layers of agricultural irrigation, and wide-spread artifacts. They also found ship and boat wreckage including "Scorpion's tail boats," which were quite unique
In 2002, officials announced that the legendary, lost city Wieng Kumkam was indeed an ancient city.
Chiang Mai province is the second largest province of Thailand with many exceptional environmental and cultural tourist attractions. Chiang Mai is the only one province where five districts in the North are located near the border of Burma. The highest mountain is Doi Inthanon which is at Chom Thong district in the South of Chiang Mai city and 2,565.33 meters high .The second highest mountain is at Doi Phahompok national park in Fang district and is 2,285 meters high, and the third largest mountain is Doi Luang Chiang Dao in Chiang Dao district and is 2,170 meters high. These mountains are part of the Phee Pan Nam mountain range. Because the weather is pleasant, though a bit cold in winter, many people come to visit these mountains each year.
The mountains are the water source of the Ping River, which flows down to the central plain and then unites with the Wang, Yom and Nan Rivers in Nakornsawan province to become the famous Chao Phraya River before flowing southwards to the Thai Gulf at Samut Prakarn province.
The Ping River is quite beautiful and the subject of many paintings and photographs. Its charm also appears in poems and folk songs that emphasize traditional culture and display the beauty and charm of Chiang Mai.
The history of the Ping River is involved with the Northern people and the renowned historical tale of the former sunken city. Before 1997, the mystery comprised only two remaining pagodas, a large Buddha statue and a folk-tale about the river and this unknown place.
Wieng-KumKam1-cr
Eventually, when people moved into the area and discovered more artifacts, officials investigated and found that the land was covered by mud and sand as if deposited by a flood. And historically, there was an overwhelming flood in the area. As they probed further, they uncovered more evidence. The historical facts and aerial photographs proved that the city plan of Chiang Mai is marvelously surrounded by an old, unmapped, manmade circular-shaped canal. The proof of the construction of Chiang Mai city after Lanna people moved from Wieng Kumkam was engraved in the stone inscription in the year 1296 at Wat Chiang Mun. We might say that Wieng Kumkam is an underground empire.
At the time that Wieng Kumkam thrived, the agriculture was good and the military was strong. Chinese artisans came to produce porcelain using the abundant and valuable varieties of clay near a series of what are now famous kilns. Each of the kilns produced quite different ceramic porcelain. Porcelain from Sankamphaeng was painted in a two-fish pattern, while porcelain from Wieng Kalong was painted in a bird pattern. Phayao kiln used white clay to create statues of small soldiers on war elephants. The porcelain from Sukhothai kiln had a predominant green color. Nan kiln produced porcelain with dark colors and the pattern of owls. The kilns in each place were called 'Chinese dragon-kilns' because they were very large and the production capacity of porcelain in each kiln was more than 1,000 Bowls or plates at a time.
PhayaMeng Rai was the ruler of Nak Yonoknakorn. According to Buddhist tradition, Nak (Thai serpent) was built as railings of stairs to the temple. Phaya Meng Rai was a friend of the Phaya Ngam Muang who governed the Phayao Empire and Pho khun Ramkamhaeng who was the ruler of Sukhothai Empire.
3kings-cr
They were the three kings who founded Wieng Kumkam as both a trading and religious center. People at that time lived near the temples because it was easier for them to support the monks with food and money.
During the construction of Wieng Kumkam, Phaya Meng Rai governed the Hariphunchai Empire before moving to Chiang Mai and built many temples such as Wat Chet yod, Wat U Mong, Wat Pra Singh, Wat Chedi Luang and Wat Chiang Man. The extant Lanna art style blended with Burmese and Chinese arts. When Burma conquered the North, nobody talked about Wieng Kumkam. Then the flood and the city was eventually forgotten.
Today, the Ping River, in all of its undulating, romantic beauty is a welcoming route to the no-longer forgotten, lost city of Wieng Kumkam
No comments:
Post a Comment